ยุคนี้ ทำประกันให้ลูก
พ่อแม่ต้องคิดถึงอะไร
ยุคนี้ ทำประกันให้ลูก
พ่อแม่ต้องคิดถึงอะไร
ปัจจุบันมีแบบประกันสุขภาพสำหรับเด็กนั้นมีให้เลือกเยอะแยะมากมาย อยากให้คนเป็นพ่อแม่เลือกสิ่งที่ดีที่สุดบนความต้องการในด้านต่างๆให้ครบถ้วน คำถามอีกข้อที่หลายคนมักถามคือ แล้วจะทำประกันให้ลูกตอนไหนดี ทำตั้งแต่แรกเกิด หรือ รอโตอีกหน่อย เพราะค่าเบี้ยประกันของเด็กเล็กจะสูงกว่าเด็กโต (ไม่เหมือนกับของผู้ใหญ่ที่ยิ่งอายุเยอะ ค่าเบี้ยประกันยิ่งสูง) สาเหตุที่ค่าเบี้ยสูงเพราะระบบร่างกายยังไม่สมบูรณ์ทำให้มีโอกาสเจ็บป่วย เด็กเล็กมีความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย ยอดเคลมประกันเด็กเล็กสูงกว่าเด็กโต ฯลฯ ดังนั้น ช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับทำประกันให้ลูกคือ สามารถทำได้ตั้งแต่แรกเกิด เพราะเด็กเล็กป่วยง่ายถึงแม้จะอยู่ในการดูแลของพ่อแม่ แต่จุดที่ต้องทำทันทีคือเมื่อเข้า รร. อนุบาลเป็นต้นไป เพราะพอเข้าโรงเรียนแล้วนั้นยากที่จะควบคุมไม่ให้เจ็บป่วยนั่นเอง
*หมายเหตุ : ประมาณการค่ารักษาจากโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำ
ประกันสุขภาพมีหลายรูปแบบที่ตอบโจทย์ตามกลุ่มคนที่หลากหลาย ซึ่งหากจะทำประกันสุขภาพให้ลูก พ่อแม่ควรเลือกดังนี้
1.1) ประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย:
มีข้อดีคือ จ่ายค่ารักษาตามจริง รายการส่วนใหญ่ไม่จำกัดวงเงิน ไม่ว่าจะเป็นค่าห้อง ค่ายา ค่ารักษา ค่าพยาบาล ฯลฯ ให้วงเงินสูง เหมาจ่ายไม่แยกย่อยเก็บตามหมวด ค่าเบี้ยสำหรับเด็กอายุ 0-3 ขวบ เริ่มต้นที่ 30,000 – 50,000 บาท และสูงสุด 70,000 – 100,000 บาท (ขึ้นอยู่กับความคุ้มครอง)
1.2) ประกันสุขภาพแบบแยกค่าใช้จ่าย:
มีข้อดีคือ ค่าเบี้ยถูกกว่าแบบเหมาจ่าย สำหรับเด็กอายุ 0-3 ขวบ เริ่มต้นที่ 20,000 บาท ส่วนใหญ่ไม่มีกำหนดวงเงินสูงสุดในการรักษาต่อปี แต่จะกำหนดวงเงินการรักษาต่อครั้ง เช่น ค่ารักษาพยาบาลกรณีผู้ป่วยนอก (OPD) ไม่เกิน xx/ครั้ง/โรค หรือ ค่าห้อง ค่าอาหาร ค่าบริการพยาบาลไม่เกิน xx/วัน เป็นต้น
2.1) พ่อแม่มีสวัสดิการจากที่ทำงาน :
หากมีสวัสดิการจากที่ทำงานที่ครอบคลุมถึงลูก ก็จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการทำประกัน ให้ลูกได้ส่วนหนึ่ง เพราะไม่ต้องจ่ายค่าเบี้ยประกันเต็มราคา โดยสามารถเลือกทำประกันเฉพาะส่วนที่เกินจากสวัสดิการได้ ซึ่งในปัจจุบันก็มีหลากหลายกรมธรรม์ที่สามารถเลือกทำเฉพาะส่วนต่างจากสวัสดิการ
2.2) พ่อแม่ไม่มีสวัสดิการจากที่ทำงาน :
หากพ่อแม่ไม่มีสวัสดิการจากที่ทำงาน ควรเลือกทำประกันให้ลูกแบบเหมาจ่าย ซึ่งจะครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการรักษา ไม่ว่าจะเจ็บป่วยเล็กน้อยหรือป่วยหนัก ซึ่งแบบเหมาจ่ายค่าเบี้ยจะสูงกว่าแบบแยกค่าใช้จ่าย
นอกเหนือจากปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้น สิ่งที่สำคัญที่จะทำให้พ่อแม่ใช้เป็นเกณฑ์ในการตัดสินใจว่าจะเลือกทำประกันสุขภาพให้ลูกแบบไหนดี ก็คือค่าเบี้ยและความคุ้มครองที่จะได้รับ แนะนำว่าควรเลือกเบี้ยประกันสุขภาพให้สอดคล้องและเหมาะสมกับทุนทรัพย์ที่มีอยู่ ให้นึกภาพตามว่าจะสามารถจ่ายเบี้ยประกันได้ไหวเท่าไหร่ โดยที่ไม่รู้สึกลำบากในระยะยาว เช่น เบี้ยประกันสุขภาพของลูกปีละ 30,000 บาท ต้องจ่ายไปเรื่อยๆ 6 ปี (หลัง 6 ปี เบี้ยประกันสุขภาพเด็กจะถูกลง) ทำให้ต้องกันเงินไว้สำหรับค่าเบี้ยประกันสุขภาพลูกเริ่มต้นที่ 180,000 บาท อีกทั้งเบี้ยประกันจะสอดคล้องกับทุนประกัน หากเลือกทุนประกันสูง เบี้ยก็จะสูงตามไปด้วย หากไม่อยากจ่ายเงินค่าเบี้ยประกันเป็นรายปีแบบก้อนเดียวทีเดียวก็สามารถเลือกเป็นแบบผ่อนชำระรายเดือนหรือจ่ายเป็นงวดได้ แต่ค่าเบี้ยโดยรวมจะสูงกว่าแบบรายปี (อาจแตกต่างกันขึ้นอยู่กับแต่ละบริษัทประกัน)
นอกจากประกันสุขภาพแล้ว พ่อแม่สามารถทำประกันให้ลูกได้หลากหลายรูปแบบขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ เช่น หากต้องการให้ลูกได้รับเงินก้อนหรือเป็นของขวัญตอนเรียนจบ สามารถทำประกันชีวิตในรูปแบบสะสมทรัพย์ได้ หรือ หากต้องการเตรียมมรดกให้ลูกหลานเพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตไม่ลำบากหากพ่อแม่จากไป ก็สามารถทำประกันชีวิตในรูปแบบตลอดชีพได้เช่นกัน โดยระบุชื่อลูกเป็นผู้รับประโยชน์ และต้องไม่ลืมศึกษา ทำความเข้าใจแบบประกันต่างๆ อย่างละเอียด เปรียบเทียบข้อดีข้อเสียของแต่ละแบบประกันจากหลายบริษัทประกัน เพื่อจะได้ตัดสินใจและเลือกได้ตรงตามความต้องการ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : กรมควบคุมโรคและ ธ.กสิกรไทย
สนใจให้อัมดูแลด้านประกันชีวิตและสุขภาพติดต่อได้ที่
เบอร์ 083-836-8393, Line: @AmAllianz หรือ
Facebook แฟนเพจ : https://m.me/AmAllianz